พฤศจิกายน 2561

จากที่ TRC ได้มีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ อยากให้คุณช่วยอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลง

TRC เริ่มต้นธุรกิจดั้งเดิมจากการเป็นผู้รับเหมาทั่วไปก่อนจะเข้าสู่การเป็นผู้รับเหมาด้านงานวิศวกรรม จัดซื้อจัดหา และงานก่อสร้าง โดยเน้นรับงานในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เรามีความเชี่ยวชาญในงานวิศวกรรม ออกแบบและก่อสร้างโครงข่ายท่อส่งก๊าซ อุตสาหกรรมกลางน้ำ ไปจนถึงการเข้าสู่กระบวนการผลิต รวมถึงไบโอดีเซล โรงงานผลิตพลังงานทดแทน ปิโตรเคมี น้ำมัน และก๊าซ ในปี 2550 เราได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท สหการวิศวกร จำกัด (SKW) ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับงานโยธาโดยเฉพาะ ต่อมาในช่วงปี 2555-2559 เราได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด ประกอบธุรกิจเหมืองแร่โปแตช ในช่วงปี 2559-2560 ราคาน้ำมันดิบลดลง จำนวนโครงการจึงลดลงตามไปด้วย ประกอบกับการเข้ามาของผู้ผลิตจากจีน ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคามีความดุเดือดมาก ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรามองไปถึงอนาคตของ TRC เราต้องการไปอยู่ที่แนวหน้าของอุตสาหกรรมเหมือนกับที่เราเคยอยู่ในอดีต ดังนั้น วันนี้เราจึงวางตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของเราในฐานะที่เป็น “องค์กรบุกเบิกนวัตกรรมและเป็นผู้ส่งมอบโครงการนวัตกรรมที่แก้ปัญหาให้กับลูกค้าในภูมิภาคนี้ (CLMVT)” นวัตกรรมนี้สื่อถึงการที่เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุด ให้เหนือความคาดหมายของลูกค้า ในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย ความรวดเร็ว และภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม ในการนี้ เราได้กำหนดภาคส่วนของอุตสาหกรรมที่เราคาดว่าจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ อาทิ โลจิสติกส์ภายใน ระบบท่อใต้ดิน และการวางสายเคเบิล เป็นต้น

อยากให้คุณช่วยขยายความเกี่ยวกับโลจิสติกส์ภายในและสิ่งที่ TRC ได้ทำสำเร็จแล้ว ณ ตอนนี้

ระบบโลจิสติกส์ประกอบด้วย 3 ระบบหลัก ได้แก่ ซอฟท์แวร์ การบริหารจัดการคลังสินค้า และการบริหารจัดการงานขนส่ง สิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือระบบซอฟท์แวร์และการบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของโลจิสติกส์ภายใน ความแตกต่างระหว่างโลจิสติกส์ภายในกับโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมนั้นเริ่มตั้งแต่การออกแบบคลังสินค้า ซึ่งรูปแบบของคลังสินค้าแบบดั้งเดิมจะมีความสูงประมาณ 10 เมตร แต่ในรูปแบบที่กำลังพูดถึงนี้ เราจะสร้างชั้นวางสินค้าที่มีความสูง 40 เมตรที่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าเดิม และติดตั้งระบบการจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS) เข้าไปด้วย ให้กับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (PTTOR) อันเป็นโครงการแรกของแนวคิดดังกล่าวที่เราตั้งใจจะขยายผลในประเทศไทย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับบริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่เพื่อยกระดับประสิทธิผลของระบบคลังสินค้าในปัจจุบัน ผลบวกของโครงการโลจิสติกส์ภายในก็คือเราจะเป็นผู้ริเริ่มเป็นรายแรกในประเทศไทยที่สามารถทำกำไรได้สูงกว่า เทียบกับผู้รับเหมางานโครงสร้างพื้นฐานรายอื่น เนื่องจากเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบดังกล่าวด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดรายได้ต่อเนื่อง เจ้าของโครงการเองก็ได้ประโยชน์เพราะไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก พูดได้ว่าประสิทธิภาพของระบบนี้ล้ำหน้าระบบแบบเดิมมากมายนัก

เนื่องจากงานก่อสร้างยังคงเป็นธุรกิจหลักของ TRC ตอนนี้โครงการต่างๆ มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง และโครงการที่ TRC ต้องการเข้าประมูลเป็นโครงการประเภทใด?

ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 ยอดขายที่รอรับรู้รายได้มีมูลค่าทั้งสิ้น 5.6 ล้านบาท และยังมีอีกหลายโครงการที่ได้เปิดตัว อาทิ โครงการของบริษัท ไทย ออยล์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการลงทุน 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในโครงการ Clean Fuel Project (CFP) โครงการใหม่ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของรัฐบาลไทยก็น่าจะเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทฯ เช่นกัน ซึ่งเราเองก็วางตำแหน่งทางธุรกิจเป็นผู้รับเหมาในโครงการดังที่กล่าวมา โดยจะดำเนินการโดย SKW บริษัทลูกที่เราถือหุ้น 100% ซึ่งได้รับงานมาหลายโครงการ เช่น ระบบท่อประปา ก่อสร้างถนน จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า และอีกหลากหลายโครงการที่เกี่ยวกับงานโครงสร้างพื้นฐาน งานโครงการที่เรารับจะไม่ใช่โครงการก่อสร้างถนนหรือทางหลวงทั่วไป แต่จะเป็นโครงการที่ต้องมีโซลูชั่นทางวิศวกรรม เช่นโครงการสร้างสะพานข้ามแยก ณ ระนองที่เราเพิ่งได้รับงานมา ซึ่งเป็นโครงการที่มีความซับซ้อน ใช้วลาทั้งหมด 900 วัน มูลค่า 1,200 ล้านบาท อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจคือโครงการไทยแลนด์ สมาร์ท เมโทร โดยการร่วมมือกันระหว่างการไฟฟ้านครหลวง ทีโอที กสท โทรคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย รัฐบาลต้องการที่จะฝังสายโทรศัพท์ต่างๆ ลงใต้ดิน และกำลังมองหาภาคเอกชนที่จะมาดำเนินการเดินสายเหล่านี้เป็นระยะทาง 127.3 กิโลเมตร ในระหว่างปี 2560-2564 ดังนั้น SKW จึงได้ร่วมมือกับบริษัทในจีนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเดินระบบท่อใต้ดิน และถ้าหากเราเป็นเจ้าของสายเคเบิลดังกล่าว บริษัทโทรคมนาคมต่างๆ ก็จะต้องเช่าช่วงความถี่จากเรา ซึ่งจะเป็นการเสริมรายได้ที่จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ อีกด้วย

จากที่ TRC ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการโปแตช โครงการนี้มีรายละเอียดอย่างไร และสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง?

มุมมองของเราคือองค์ประกอบต่างๆ ของโครงการนี้ค่อนข้างลงตัว เราค่อยๆ มีการลงทุนใน APOT มาตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2555-2559 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาโปแตชปรับลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นพร้อมกับสินค้าประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม การผันผวนของราคาที่มีมาอย่างต่อเนื่องถือเป็นความเสี่ยงที่เราจะต้องบริหารจัดการ ก่อนอื่น APOT จำเป็นต้องมีผู้ร่วมลงทุนอีกรายหนึ่งเนื่องจากโครงการนี้มีมูลค่า 40,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไปที่ TRC จะรับไว้เพียงผู้เดียว และเราเองก็เล็งเห็นถึงความคืบหน้าไปในทางบวก

คุณมองว่าอุตสาหกรรมในประเทศไทยกำลังพัฒนาไปในทิศทางใด?

เรามองว่าเทรนด์เรื่องโลจิสติกส์ภายในกำลังจะมาในอีก 2-3 ปีข้างหน้าและหลายบริษัทก็จะเริ่มใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้น จากที่หลายบริษัทได้เริ่มมาปรึกษาให้เราดูแลเรื่องการบริหารจัดการคลังสินค้ากันแล้ว เนื่องด้วยความกังวลเรื่องแรงงาน การโจรกรรม การบริหารจัดการ และประเด็นอื่นๆ นอกจากนั้น ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของการค้าขายออนไลน์ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นแน่นอนเพื่อเป็นการทำให้ระบบคลังสินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในส่วนของงานก่อสร้าง โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกน่าจะส่งผลทางบวกให้กับเรา และยังมีโอกาสอีกมากมายจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะเน้นในเรื่องการสร้างคุณค่า และโครงการที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น การผลักดันอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจก่อสร้างอีกด้วย

สิ่งที่นักลงทุนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับ TRC คืออะไร?

นักลงทุนหรือแม้กระทั่งลูกค้าเก่าอาจยังมองว่า TRC เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับระบบท่อ ซึ่งปัจจุบันเราไม่ได้ทำแล้ว วิสัยทัศน์ของเราคือการเป็นผู้บุกเบิก ซึ่งอาจใช้เวลากว่าที่อุตสาหกรรมหรือนักลงทุนจะเข้าใจ ถึงแม้ว่าธุรกิจของเรามีความหลากหลายค่อนข้างมากแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจปิโตรเคมี น้ำมันและก๊าซ ภาคอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ภายใน ระบบงานใต้ดิน เภสัชกรรม และงานวิศวกรรมโยธาที่มีความซับซ้อน

คุณมองภาพธุรกิจของ TRC ในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างไรบ้าง?

อีก 3 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะสร้างรายได้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นจริงได้ด้วยการพัฒนาโครงการภายในต่างๆ และการขยายไปในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใหม่ การที่เราดำเนินการรวดเร็วเป็นคนแรก เราจึงมีข้อได้เปรียบที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่ง และด้วยความสำเร็จที่ผ่านมาและแผนงานในอนาคต เราจะพิสูจน์ว่า TRC เป็นองค์กรผู้บุกเบิกที่นำเสนอการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรมให้กับลูกค้าในภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง


บทสัมภาษณ์ผู้บริหารชุดนี้จัดทำโดยบริษัท ShareInvestor ผู้ให้บริการด้านสื่อการเงินออนไลน์ เทคโนโลยี และเครือข่ายนักลงทุนสัมพันธ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่อีเมล์ admin.th@shareinvestor.com เว็บไซต์ www.ShareInvestorThailand.com